Last updated: 2 ต.ค. 2567 | 1401 จำนวนผู้เข้าชม |
งาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39” (The 39th Bangkok International Motor Show 2018) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายน 2561 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “Revolution in Motion…ปฏิวัติทุกความเคลื่อนไหว” ความก้าวหน้า และการพัฒนาทางเทคโนโลยียานยนต์ ส่งผลให้ยนตรกรรมเป็นมากกว่ายานพาหนะ กว่า 130 ปี ที่นวัตกรรมยานยนต์ได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความปลอดภัย ประสิทธิภาพ สมรรถนะและความสะดวกสบายในการใช้งานของยานยนต์ในยุคปัจจุบัน จนปฏิเสธไม่ได้ว่า นวัตกรรมเหล่านั้นได้มีบทบาทที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ในชีวิตประจำวัน ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ทุกการเดินทาง ขับเคลื่อนสู่ความเป็นผู้นำแห่งโลกยนตรกรรม พร้อมตอบรับการปฏิวัติทุกการเคลื่อนไหว ซึ่งในปีนี้มีค่ายรถจักรยานยนต์เข้าร่วมออกบูธจัดแสดงมากถึง 14 บูธด้วยกัน อาทิ Honda, Yamaha, Suzuki, Kawasaki, Ducati, Harley-Davidson, Triumph, Royal Enfield เป็นต้น โดยไฮไลท์ของบูธต่างๆ ก็คือ การเปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดให้ไบค์เกอร์และผู้เข้าชมบูธได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด...ซึ่ง FRM นำตัวเด็ดๆ ของแต่ละค่ายมาให้ชมกันดังต่อไปนี้!!!
เริ่มด้วยค่ายแรกที่ทำการเปิดบูธในงานนี้คือ Harley-Davidson ซึ่งไฮไลท์ในปีนี้นำเสนอรถรุ่นลิมิเต็มอิดิชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟจำนวน 9 คัน ซึ่งผลิตขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงโทนสีฟ้าในตำนาน “Legend Blue” ในโอกาสครบรอบ 115 ปี ของ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน โดยเป็นการผสมผสานมรดกแห่งสไตล์อันโดดเด่นของ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน เข้ากับเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อสร้างสรรค์สุดยอดรถมอเตอร์ไซค์ที่สื่อถึงความเป็นอิสระเสรีที่ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน มอบแด่ผู้ขับขี่ตลอดมาและจะยังคงมุ่งมั่นนำเสนอตลอดไป นอกจากนี้ยังมีรุ่น Sportster รุ่นตกแต่งพิเศษถึง 4 รุ่น คือ รุ่น Café Racer Roadster ด้วยสไตล์การตกแต่งพิเศษแบบคาเฟ่ เรเซอร์, รุ่น Bobber Iron 883 ในสไตล์ Blacked-out ที่ดุดัน, รุ่น Urbanian Forty-Eight โดดเด่นด้วยถังน้ำมันที่เป็นเอกลัษณ์ตอบรับการใช้งานสไตล์คนเมืองได้อย่างดีเยี่ยม และรุ่น Café Bobber Chameleon Iron 883 ที่ผสมผสานแนวคิดการแต่งรถแนวคาเฟ่ เรเซอร์ และดีไซน์เปลือยท้ายของ บ๊อบเบอร์ ไออ้อนได้อย่างลงตัว รวมไปถึงการจัดแสดงมอเตอร์ไซค์รุ่นยอดฮิตในตระกูล 2018 Softail อีกด้วย
บูธต่อมาคือ BMW ซึ่งได้ทำการเผยโฉมรุ่นใหม่ พร้อมเปิดตัวเทคโนโลยีล้ำยุค BMW ConnectedRide นำโดย K 1600 Grand America ใหม่ รถจักรยานยนต์ทัวริ่งที่มาพร้อมเครื่องยนต์ทรงพลัง เพื่อการขับขี่ทางไกลที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะและความสะดวกสบายอย่างแท้จริง, S 1000 RR HP Line ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นพิเศษ, R 1200 GS และ R 1200 GS Adventure ใหม่ที่มาพร้อมนวัตกรรม BMW ConnectedRide รวมทั้ง F 800 R ใหม่, S 1000 R ใหม่ และ S 1000 XR ใหม่ นอกจากนี้ แฟนๆ BMW ยังจะได้พบกับการสร้างสรรค์ประสบการณ์การขับขี่สุดเอ็กซ์คลูซีฟ กับชุดแต่ง BMW Motorrad Spezial ที่นำเสนอทางเลือกให้เหล่าไบค์เกอร์ได้เป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ที่ไม่เหมือนใคร กับชุดแต่งคุณภาพพรีเมียม ในดีไซน์เฉพาะตัวที่สร้างเอกลักษณ์สะกดทุกสายตาให้แก่ผู้ขับขี่
จากนั้นมาที่บูธ โมโตเพล็กซ์ แบงค็อก (Motoplex Bangkok) ของ บริษัท เวสปิอาริโอ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถสกู๊ตเตอร์พรีเมี่ยมชั้นนำ “พิอาจิโอ” และ “เวสป้า” พร้อมทั้งรถมอเตอร์ไซค์ระดับตำนาน “อาพริเลีย” และ “โมโต กุซซี่” สัญชาติอิตาเลี่ยนแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ปลุกความตื่นตาตื่นใจให้สาวกสองล้อได้ยลโฉมขบวนรถใหม่ 7 รุ่น ทั้งทัพรถสกู๊ตเตอร์พรีเมี่ยม ได้แก่ PIAGGIO MEDLEY SPECIAL EDITION, VESPA SPRINT 150 i-Get CARBON EDITION, VESPA GTS SUPER SPORT 300 ABS และรถจักรยานยนต์ระดับตำนานสัญชาติอิตาเลี่ยน ประกอบด้วย APRILIA ตระกูล RSV4 MY17 ใหม่ ได้แก่ APRILIA NEW RSV4 RF (MY17), APRILIA NEW RSV4 RR (MY17) พร้อมด้วย MOTO GUZZI V7 III CARBON LIMITED EDITION และ MOTO GUZZI V7 III STONE นอกเหนือจากไฮไลต์ขบวนรถใหม่แล้ว บริษัทฯ ยังเตรียมความพิเศษต่างๆ ที่มาในรูปแบบของโปรโมชั่นและข้อเสนอสุดพิเศษเพื่อให้แฟนๆ สองล้ออิตาเลี่ยนได้ครอบครองรถรุ่นในฝันได้ง่ายขึ้น และสะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วย
ต่อกันด้วยบูธ Ducati ซึ่งมาพร้อมกับการฉลองครบรอบ 25 ปี ของรถตระกูล Monster ด้วยการเปิดตัว New Monster 821 ที่ถูกออกแบบขึ้นใหม่ ทั้งถังน้ำมัน, ไฟหน้า และส่วนประกอบต่างๆ ของตัวรถ พร้อมฟังก์ชั่นอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังเปิดตัว Multistrada 1260S ราชาแห่งรถสปอร์ตทัวเรอร์ ที่ให้ความคล่องตัวในการใช้งานมากยิ่งขึ้น ด้วยเครื่องยนต์ Testastretta DVT รุ่นใหม่ 1,262 ซีซี. 158 แรงม้า พร้อมแชสซีส์ใหม่และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ที่ทันสมัย ช่วยเพิ่มการควบคุมและความสะดวกสบายในการขับขี่ขั้นสูงสุด และอีกหนึ่งไฮไลท์คือ Scrambler 1100 ที่มาพร้อม ระบบ Traction Control, ระบบ Cornering ABS และ Riding Mode ถึง 3 รูปแบบเพื่อตอบโจทย์ในทุกการเดินทาง ซึ่งมีให้เลือกทั้งรุ่น Scrambler 1100, Scrambler 1100 Special และ Scrambler 1100 Sport
บูธ Royal Enfield เปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่น Himalayan สีใหม่ ลวดลายกราฟิกเท่ๆ อย่างรุ่น Royal Enfield Himalayan Sleet เป็นครั้งแรกในเมืองไทย ซึ่งเป็นสีและลวดลายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเส้นทางสุดหฤโหดของเทือกเขาหิมาลัย และยังมีให้เลือกเพิ่มด้วยกันอีก 2 สีคือ สีเทาดำ แกรนิต และสีขาวสโนว์ นอกจากนั้นยังมีรถรุ่นอื่นๆ ทั้ง Royal Enfield Classic, Royal Enfield Bullet และ Royal Enfield Continental GT รวมทั้งส่วนลดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมากมายสูงสุดถึง 60%
บูธถัดมาที่เปิดตัวคือ KTM ซึ่งปีนี้มีการเปิดผ้าคลุมรถรุ่นใหม่ 1 รุ่นคือ KTM 1290 Super Duke R รถสไตล์ Naked สายพันธุ์ออสเตรีย ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง โดดเด่นด้วยไฟหน้าขนาดใหญ่แบบ LED ไฟเลี้ยวและไฟท้าย LED มีโหมดให้เลือก 3 โหมด คือ Comfort, Street, Sport พร้อมระบบ Traction Control, Stability Control, ระบบ Hill Hold Control ระบบ MSR (Motor Slip Regulation) ระบบ MSC (Motorcycle Stability Control) เครื่องยนต์ 2 สูบ 4 วาล์ว DOHC V-TWIN 75 ขนาด 1,301 ซีซี.177 แรงม้า มาพร้อมระบบเบรก BRAMBO ABS สวิงอาร์มแบบโปรอาร์ม ความจุของถังน้ำมัน 18 ลิตร นอกจากนี้ยังมี New KTM 390 Duke และ New KTM RC 390 มาให้สาวกสีส้มได้สัมผัสกันอีกด้วย
ค่าย Triumph เปิดตัว ALL NEW TIGER 800 XR รถมอเตอร์ไซค์หนึ่งในโมเดลย่อยล่าสุดของตระกูลแอดเวนเจอร์แอนด์ทัวริ่ง ขับขี่ง่าย ปราดเปรียว เอาใจไบค์เกอร์สายลุย โดยมาพร้อมเครื่องยนต์ 3 สูบเรียง ขนาด 800 ซีซี. พร้อมการพัฒนาเทคโนโลยีและสมรรถนะในส่วนสำคัญหลายส่วนมากกว่า 200 รายการ เพื่อการขับขี่บนถนนทุกประเภท ที่สำคัญสามารถเติมเต็มความเป็นทัวร์ริ่งให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ด้วยอุปกรณ์เสริมปรับแต่งรถได้ดั่งใจที่มีให้เลือกสรรอีกมากกว่า 50 รายการ เพื่อมอบประสบการณ์ขับขี่ขั้นสูงสุดบนทุกเส้นทาง นอกจากนั้นที่บูธไทรอัมพ์ยังมีทัพรถมอเตอร์ไซค์มาโชว์และให้สัมผัสจำนวนมากถึง 28 คัน เลยทีเดียว
ถัดมาคือบูธ Honda ที่ประกาศจัดเต็มโชว์สุดยอดเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดครั้งแรกในไทย พร้อมยกทัพรถจักรยานยนต์ที่สุดแห่งนวัตกรรมการขับขี่ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คนยุค 4.0 ประเดิมความท้าทายครั้งสำคัญ ไฮไลท์พิเศษเปิดตัวรถจักรยานยนต์อย่างเป็นทางการพร้อมกันถึง 8 รุ่น ได้แก่ Honda PCX Electric, Honda PCX Hybrid, All New Honda FORZA, All New Honda Goldwing, New Honda CB1000R, New Honda Africa Twin Adventure Sport, Honda Monkey และ Honda C125 มาพร้อมโปรโมชั่นพิเศษกับข้อเสนอเกินห้ามใจ นอกจากนี้ฮอนด้ายังได้เปิดตัวแอพลิเคชั่นไลน์บิสซิเนสคอนเนค (Line Business Connect) เพื่อการเชื่อมต่อและใกล้ชิดกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคดิจิตอลแบบ 1 to 1 เพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ โดยผู้สนใจสามารถ Add Friend “@Hondamotorcycleth”
ตามด้วยบูธ Suzuki ที่เปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด ไม่ว่าจะเป็น Big Bike อย่าง Suzuki SV650X รถจักรยานยนต์สปอร์ตสไตล์ Café Racer เครื่องยนต์แบบ V-Twin1, เฟรมถักอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น, ครอบโคมไฟหน้าที่ซ่อนไฟสไตล์โดดเด่น, เบาะนั่งแบบ Tuck-and- Roll และบนความหลงใหลในการขับขี่สไตล์ Café Racer และ Small Bike อย่าง Suzuki Address 110 รถจักรยานยนต์สกู๊ตเตอร์ครอบครัวที่มีความโดดเด่นในด้านดีไซน์ รูปทรงโฉบเฉี่ยว สวยงาม และมีความทันสมัย เท่ๆ ขับขี่ง่าย และสนุกในทุกสไตล์ ใช้งานได้คล่องตัวแม้ในการจราจรที่แออัด ซึ่งใครๆ ก็ขี่ได้ นอกจากนี้ Add ฟังก์ชั่นอีกมากมายที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ได้อย่างครบครัน นอกจากนี้ ซูซูกิ ยังได้นำรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการแข่งขัน MotoGP อย่าง Suzuki GSX-RR มาให้ได้ชมอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
จากนั้นเป็นคิวของบูธ Kawasaki ซึ่งนำทัพมาด้วยไฮไลท์อย่างรถ Race Replica ลายใหม่ล่าสุดปี 2018 ของสุดยอดนักแข่งแชมป์ 3 สมัย ของรายการ WSBK อย่าง “โจนาธาน เรีย” และ “ทอม ไซค์” จาก “Kawasaki Racing Team” และรถที่ใช้ในการแข่งขันของ “ติ๊งโน๊ต-ฐิติพงศ์ วโรกร” แชมป์ All Thailand Superbike 2017 มาให้สัมผัสตัวเป็นๆ นอกจากนี้ภายในงานนั้นจัดแสดงรถจักรยานยนต์ในโซนต่างๆ มากมาย นำโดย โซน “Ninja” รถจักรยานยนต์สายพันธ์สปอร์ต ที่ยกทัพกันมาแบบจัดเต็ม ได้แก่ Ninja H2 SX SE, Ninja ZX-10R SE, Ninja H2, Ninja ZX-10R, Ninja 400, Ninja 650, Ninja250 เป็นต้น ตามมาด้วย โซน “Z” รถจักรยานยนต์สปอร์ตเนคเกต ได้แก่ Z1000, Z900RS, Z900RS Café, Z900, Z650, Z300, Z250 เป็นต้น โซนแอดแวนเจอร์ ได้แก่ Versys1000, Versys650, Versys-X300 เป็นต้น และโซนสุดท้าย คือ คลาสสิคโซน ได้แก่ W800, W250, W175 เป็นต้น
ส่วนบูธ Yamaha นั้นสร้างความฮือฮาได้เป็นอย่างมาก ด้วยการนำรถต้นแบบปัญญาประดิษฐ์ Yamaha MOTOROiD รถจักรยานยนต์ต้นแบบที่สามารถจดจำเจ้าของและสื่อสารกับเจ้าของได้ราวกับมีชีวิต และบิ๊กไบค์แห่งอนาคตที่มาพร้อมเทคโนโลยี Leaning Multi Wheel (LMW) อย่าง Yamaha NIKEN ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 847 ซีซี. สามสูบ Crossplane เอกลักษณ์จากยามาฮ่ากับขีดขั้นของการออกแบบพร้อมล้อคู่หน้าทำงานอย่างเป็นอิสระ เฟรมแบบไฮบริดที่นำความสปอร์ตเร้าใจ รวมกับความสะดวกสบายในแบบทัวริ่งผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว นับเป็นการปฏิวัติการขับขี่ที่แท้จริง พร้อมเปิดตัวบิ๊กไบค์ New Yamaha MT-07 และออโตเมติกพรีเมี่ยม New Yamaha LEXI เป็นครั้งแรก
มาต่อที่บูธ GPX ซึ่งเขย่าวงการอีกครั้งด้วยการเปิดตัว Razer 220 รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ในสไตล์สปอร์ตเน็คเก็ต ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 220 ซีซี. ซึ่งเป็นพิกัดสูงสุดของทางค่าย และเต็มไปด้วยฟังก์ชั่นมากมาย อาทิ ไฟหน้าไฟท้ายแบบ Full LED พร้อมไฟ Daylight ในตำแหน่งด้านหน้าและด้านข้าง, เรือนไมล์ดิจิตอล, อกไก่รอบเครื่องยนต์, เบาะนั่งทรงสปอร์ตแบบสองตอน, สติ๊กเกอร์ลายพิเศษ และล้อแม็ก 5 ก้าน นอกจากนี้ยังมีรุ่นต่างๆ ทั้งในกลุ่ม Sport Classic, Sport Minibike และ Sport Naked ซึ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ที่นำมาให้ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง
บูธน้องใหม่ล่าสุดอย่าง Royal Alloy ที่มาพร้อมกับรถสกู๊ตเตอร์ที่มีความเฉพาะตัวในแบบเรโทรที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของชาวม็อดได้อย่างลงตัว และ Hanway รถมอเตอร์ไซค์แบบคลาสสิคสไตล์ครุยเซอร์ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง
และอีกหนึ่งบูธแบรนด์ใหม่ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกเช่นกันคือ CFMOTO ที่ยกทัพรถสไตล์ Naked หลากหลายพิกัดมาให้ได้สัมผัสกัน ไม่ว่าจะเป็น 250NK ซึ่งเป็นรุ่นเล็กสุด ตามมาด้วย 400NK กับ 650NK และรุ่นที่เป็นสไตล์ทัวริ่งอย่าง 650MT ที่ทั้งหมดนี้ต่างเปิดตัวมาในราคาที่เร้าใจแบบสุดๆ เลยทีเดียว
และปิดท้ายที่บูธรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบรนด์ Munro ซึ่งมาเปิดตัวในงานนี้เป็นครั้งแรกด้วยรุ่น Munro 2.0 มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ที่มาพร้อมการออกแบบอย่างปราณีตและลงตัว โดยบริษัท munro motors จากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน โดยใช้ชื่อของ Burt Munro ตำนานแห่งความเร็วที่ถูกจารึกชื่อไว้ที่ The Bonneville Salt Flats นอกจากความเรียบหรูแล้ว สิ่งที่ทำให้ Munro 2.0 ต่างจากจักรยานไฟฟ้าอื่นๆ ก็คือ ไม่มีที่ปั่น แต่จะมีโช้คอัพหน้าและหลัง ช่วยซับแรง ให้ความนุ่มสบาย โดยเจ้า munro 2.0 จะมีน้ำหนักเพียง 35 กิโลกรัม ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าของ Bosch โดยติดตั้งในบริเวณล้อหลัง สำหรับแบตเตอรี่จะเก็บไว้ที่ตัวถังรูปทรงสามเหลี่ยมถึง 2 ก้อน ทางโรงงานเคลมความเร็วสูงสุดไว้ที่ 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และวิ่งได้ระยะทาง 48 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งต่อหนึ่งก้อน สัมผัสประสบการณ์ และนิยามใหม่สำหรับการขับขี่ของไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ที่จะปฎิวัติทุกๆ การเดินทางของคุณให้เป็นเส้นทางสีเขียว ดังสโลแกนที่ว่า “Change Impossible เปลี่ยนแปลงสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้” ได้ที่บูธ Munro !!!
21 พ.ย. 2567