ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว ตะลุยนครจำปาศรี@มหาสารคาม ระยะทาง 246 กม. น้ำมัน 100 เดียว!!!

Last updated: 2 ต.ค. 2567  |  43839 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว ตะลุยนครจำปาศรี@มหาสารคาม ระยะทาง 246 กม. น้ำมัน 100 เดียว!!!

     ยามาฮ่า สานต่อโปรเจ็ค “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” ที่ใช้รถจักรยานยนต์ครอบครัวรุ่นใหม่ล่าสุด ที่อัดแน่นไปด้วยความหรูหราระดับพรีเมี่ยมตลอดทั้งคัน อย่าง “ยามาฮ่า ฟินน์”...ฟินน์กว่า ก็โดนกว่า...ขับขี่ท่องเที่ยวไปตามจังหวัดเมืองรองทั่วทุกภาคของเมืองไทย โดยในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ของโปรเจ็คนี้ และเดินทางมาฟินน์กันต่อที่ “นครจำปาศรี” จ.มหาสารคาม กับระยะทาง 246 กม. ที่ต้องเจอกับสภาพการขับขี่ที่หลากหลายรูปแบบ แต่ก็ใช้น้ำมันเพียงแค่ 100 บาทเท่านั้น!!!



     สำหรับ “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” @สารคาม ครั้งนี้ นอกจากคณะสื่อมวลชนจากกรุงเทพฯ แล้ว ทริปนี้ยังได้เจ้าถิ่นอีก 3 คน มาเป็นไกด์นำเที่ยวพร้อมร่วมพิสูจน์สมรรถนะของยามาฮ่าฟินน์อีกด้วย โดยเริ่มสตาร์ทออกตัว “ยามาฮ่า ฟินน์” ทั้ง 8 คัน กันที่ บริษัท อีฮงมดแดงยามาฮ่า จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าในพื้นที่ ในเวลาประมาณ 15.00 น. ซึ่งในวันแรกนั้นเราวางจุดหมายการเดินทางไว้ด้วยกัน 2 แห่ง คือ “วัดหนองหูลิง” และ “สะพานไม้แกดำ”



     เมื่อขบวน ยามาฮ่า ฟินน์ ทั้ง 8 คัน พร้อมเดินทางด้วยการเริ่มต้นที่แสนง่ายกับระบบสตาร์ทไฟฟ้า หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “สตาร์ทมือ” จากนั้นก็เข้าเกียร์ที่แสนจะนุ่มนวล ด้วยระบบเกียร์วน 4 ระดับ จากเกียร์ว่างสู่เกียร์ 1 แค่กดเท้าเพียงเบาๆ เกียร์1 ก็เข้าง่าย ก่อนต่อด้วยเกียร์ 2 เกียร์ 3 เกียร์ 4 ที่ทุกเกียร์ล้วนแต่มีความนุ่มนวล พร้อมขยับความเร็วขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ออกจากร้านอีฮงมอแดง มาประมาณ 1 กม. “ยามาฮ่า ฟินน์” ทุกคัน ก็จัดการเติมน้ำมันเต็มถัง จากนั้นก็ขับขี่กันต่อมุ่งสู่ “วัดหนองหูลิง” จากถนนลาดยางราบเรียบในช่วงแรก จนเลี้ยวเข้าสู่ถนนที่มุ่งตรงสู่วัด สภาพถนนก็เปลี่ยนไป สภาพผิวถนนเปลี่ยนเป็นฝุ่นและขรุขระ สภาพเป็นหลุดบ่อ แต่ “ยามาฮ่า ฟินน์” มีโครงรถเป็นแบบแบ็คโบน ที่ออกแบบมาให้มีความแข็งแรงมีเสถียรภาพในการขับขี่ ลดอาการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ได้ดี สวิงอาร์มออกแบบให้มีความแข็งแรงแต่มีน้ำหนักเบา ทั้งการทดสอบสมรรถนะในด้านการทรงตัว รวมทั้งระบบกันสะเทือนหน้าและหลังที่สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดี สามารถซับแรงกระแทกจากพื้นถนนได้ดี



     ทำให้ขบวนยามาฮ่า ฟินน์ เดินทางมาถึงแบบสบายๆ โดย “วัดหนองหูลิง” นั้น เป็นวัดที่มีความเก่าแก่และเป็นที่ศรัทธาของคนมหาสารคาม อีกทั้งยังเป็นวัดที่ออกแบบอุโบสถเป็นรูปทรงเรืออนันตนาคราชสีทอง ซึ่งตัวอุโบสถได้แฝงปริศนาธรรมไว้ให้ชาวพุทธได้ศึกษา โดยคณะฟินน์ของเราอยู่ชื่นชมความสวยงามของวัดหนองหูลิงกันพักใหญ่จนใกล้ถึงเวลาดวงอาทิตย์ตกดิน ก็ออกเดินทางสู่ “สะพานไม้แกดำ” สะพานไม้เก่าแก่ที่สร้างขึ้นทอดข้ามพาดผ่านลำห้วยหนองแกดำเพื่อเชื่อมต่อระหว่างวัดดาวดึงษ์แกดำ บ้านแกดำ กับวัดบูรพาวนาราม บ้านหัวขัว โดยสะพานไม้แกดำที่มีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร โดยในลำห้วยมีต้นบัวแดงอยู่เป็นจำนวนมาก หลังจากชื่นชมความสวยงามและเดินเที่ยวเก็บบรรยกาศบนสะพานไม้จนฟ้ามืด ขบวนฟินน์ก็ออกเดินทางเพื่อกลับเข้าเมือง



     ในช่วงขากลับนี้เราได้เห็นการทำงานของระบบไฟหน้าที่หลอดไฟเป็นแบบฮาโลเจน ซึ่งส่องสว่างทำให้เห็นเส้นทางได้ชัดเจนแม้ว่าจะไม่มีไฟถนนก็ตาม อีกทั้งไฟเลี้ยวก็สว่างชัดในยามที่เปิดสัญญาณไฟเพื่อจะเลี้ยวซ้ายขวา รวมถึงไฟท้ายเมื่อเทียบกับรถครอบครัวรุ่นอื่นๆ แล้ว “ยามาฮ่า ฟินน์” มีไฟเลี้ยวที่ใหญ่กว่าชัดเจนกว่าเห็นได้ชัดกว่า โดยเฉพาะในระยะไกลๆ นอกจากนี้แผงหน้าปัดก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในเวลากลางคืน ให้การมองเห็นมาตรวัดความเร็วชัดเจน หรือแม้แต่ตัวเลขบอกตำแหน่งเกียร์ที่ชัดเจน แต่ไม่รบกวนสายตาเวลามองไปบนถนน เราขับขี่ยามาฮ่าฟินน์กลับมาสู่ตัวเมืองมหาสารคาม ก่อนแวะรับประทานอาหารมือค่ำและกลับสู่โรงแรม ซึ่งในวันแรกนี้ขบวนฟินน์ใช้ระยะทางรวมกว่า 90 กิโลเมตร เลยทีเดียว



     เข้าสู่วันที่สองของทริป “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” @สารคาม ขบวน “ยามาฮ่า ฟินน์” พร้อมออกสตาร์ทของวันนี้จากในตัวเมืองมุ่งหน้าสู่ “กู่สันตรัตน์” ซึ่งเป็นศิลปะสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นโรงพยาบาลในสมัยอดีตกาล เราขับขี่ “ยามาฮ่า ฟินน์” ทำความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. โดยเครื่องยนต์หัวฉีดอัจฉริยะ 115 ซีซี. ที่มาพร้อมกับสมองกลอัจฉริยะ ECU แบบ FlexFuel Vehicle ที่สามารถเติมน้ำมันเบนซินได้ทุกชนิดรวมถึงแก๊สโซฮอล์E85 มีพละกำลังเหลือเฟือทำให้เราเดินทางแบบฟินน์ฟินน์จนมาถึง “กู่สันตรัตน์” หลังจากชื่นชมความงดงามศิลปะสมัยขอมกันจนสมควรแก่เวลาแล้ว ก็เดินทางต่อสู่ “วัดพระธาตุนาดูน” ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาของชาวมหาสารคาม เป็นพุทธมณฑลอีสาน โดยเราเข้ากราบสักการะพร้อมเดินเวียนเทียนรอบองศ์พระบรมธาตุเพื่อความเป็นสิริมงคล

     จากนั้นจึงเดินทางไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ “ร้านช้างทองคำกาแฟขี้ช้าง” ที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าวัด พร้อมลิ้มรสชาติชิม “กาแฟขี้ช้าง” ซึ่งมีความหอมและมีรสชาติอร่อยไม่เปรี้ยวไม่ขมอีกทั้งยังนุ่มคอ โดยกาแฟขี้ช้างนี้เป็นกาแฟอราบิก้าที่นำมาให้ช้างกินก่อนที่จะเลือกเอาเมล็ดกาแฟที่มีสภาพสมบูรณ์ในมูลช้างมาผ่านกระบวนการและบ่มอยู่ 2 ปี ก่อนที่จะนำมาผลิตเป็นกาแฟขาย โดยกาแฟขี้ช้างราคา 400 บาทต่อแก้ว นอกจากนี้ในร้านยังจำหน่ายอาหารหลากหลายประเภทเพื่อเป็นที่พักผ่อนของผู้มาเยือน



     หลังจากนั้นขบวนยามาฮ่าฟินน์ก็เดินทางสู่พิพิธภัณฑ์บ้านอีสาน ซึ่งตั้งอยู่ในสถานีวิจัยวลัยรุกขเวช มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยภายในพิพิธภัณฑ์บ้านอีสานนั้นได้จำลองแบบบ้านของชาวอีสานในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ศึกษาเรียนรู้ของชาวอีสาน คณะฟินน์ของเราเดินชื่นชมวิถีชาวบ้านของชาวอีสานกันถึงประมาณบ่ายสองโมง จึงได้ออกเดินทางเพื่อกลับเข้าตัวเมืองสารคาม ซึ่งตลอดระยะทางขากลับกว่า 60 กม. “ยามาฮ่า ฟินน์” ก็ให้ความฟินน์กับผู้ขับขี่ตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ช่องใส่ของด้านหน้าไม่ว่าจะใส่ขวดน้ำหรือโทรศัพท์มือถือก็สะดวก ถือเป็นรถครอบครัวรุ่นแรกที่มีช่องเก็บของด้านหน้าแบบนี้ ส่วนใต้เบาะนั่งก็มีที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ 9.7 ลิตร ใส่หมวกกันน็อคครึ่งใบได้ หรือสัมภาระกระจุกกระจิกส่วนตัวได้แบบสบายๆ รวมถึงระบบดิสก์เบรกหน้าและดรัมเบรกหลัง ที่ช่วยให้การชะลอความเร็วหรือหยุดรถสามารถทำได้อย่างนุ่มนวล และ “ยามาฮ่า ฟินน์” มีวงล้อให้เลือกใช้งานทั้งแบบล้อแม็กซ์และวงล้อซี่ลวด ขนาดยางที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันและการขับขี่ท่องเที่ยว โดยยางหน้ามีขนาด 70/90-17 และยางหลังขนาด 80/90-17



     โดยทริป “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” ครั้งนี้ เดินทางกลับเข้าตัวเมืองมหาสารคาม เพื่อร่วมกิจกรรม “ยามาฮ่า คัพ เรซ” ที่จัดขึ้นบริเวณหน้าห้างเสริมไทยคอมเพล็กซ์ ซึ่งจัดการแข่งขันความเร็วเพื่อให้ชาวมหาสารคามได้ชมกัน นอกจากนี้ในงานยังได้เชิญคณะผู้ขับขี่ “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” เข้าทดลองสนามแข่งเหมือนนักแข่งที่ลงแข่งขันในรายการนี้ อีกทั้งทางยามาฮ่ายังได้จัดเกมการแข่งขัน Yamaha Finn Mechanic โดยนำ ยามาฮ่า ฟินน์ มาให้ทีมช่างได้ลงขับขี่แข่งขันอีกด้วย...



     สำหรับ “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” ในครั้งนี้ รวมระยะทางที่ใช้เดินทางทั้งหมด 246 กม. โดยที่ “น้ำมันไม่หมดถัง” ซึ่งเมื่อทำการเติมน้ำมันกลับจนเต็มถัง ปรากฏว่าใช้เงินเติมน้ำมันไปเพียง 100 บาท เท่านั้น!! หรือเติมน้ำมันกลับลงไปเพียงแค่ 3.37 ลิตร และเมื่อคำนวณหาอัตราค่าความประหยัดน้ำมันแล้วทริปนี้ทำสถิติอยู่ที่  72.99 กม./ลิตร ถือเป็นอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ประหยัดสุดฟินน์เป็นอย่างมากกับทริปการขับขี่ท่องเที่ยวตะลุยนครจำปาศรี@มหาสารคามในครั้งนี้!!!

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้