Last updated: 2 ต.ค. 2567 | 55325 จำนวนผู้เข้าชม |
สำหรับ “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย...ใช้น้ำมันถังเดียว” ครั้งนี้ ได้รับการต้อนรับจากร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าอย่าง “หจก. สินชัยระนองกลการ” อย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง ซึ่งนอกจากจะเชิญชวนลูกค้ามาร่วมกันฟินน์แล้ว ผู้บริหารร้านยังร่วมเดินทางไปด้วยตลอดทั้งทริปเลยทีเดียว...โดย “ขบวนการฟินน์” เริ่มต้นสตาร์ทกันที่ ยามาฮ่าสแควร์ สินชัยระนองกลการ ในบรรยากาศที่มีฝนโปรยปรายลงมาเบาๆ พอให้ได้สดชื่นในช่วงเช้า ซึ่งผู้ขับขี่ทั้ง 8 คน และยามาฮ่า ฟินน์ ทั้ง 8 คัน ก็พร้อมที่จะเดินทางเพื่อสัมผัสกับความฟินน์ในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติของเมืองแร่นองกันอย่างเต็มที่!!!
จุดหมายแรกของ “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย...ใช้น้ำมันถังเดียว” ในทริปนี้คือ “บ่อน้ำร้อนพรรั้ง” ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 10 กม. เป็นบ่อน้ำร้อนที่มีลักษณะใสสะอาด ไม่มีกลิ่นกำมะถันและก๊าซไข่เน่า เกิดจากสายน้ำแร่ร้อนที่มีอุณหภูมิสูงประมาณ 35-40 องศาเซลเซียล ไหลซึมออกมาจากผิวดินและกระจายเป็นแอ่ง โดยที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น บ่อน้ำร้อนแบบแช่เท้า แบบแช่ทั้งตัว ที่อาบน้ำกลางแจ้ง ร้านอาหาร และบ้านพัก เป็นต้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมาอาบน้ำแร่แบบใกล้ชิดกับธรรมชาติ โดย “ขบวนการฟินน์” ขับขี่ ยามาฮ่า ฟินน์ ท่ามกลางละอองฝนที่โปรยปรายบางๆ เป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหากับพวกเราแม้แต่น้อย เพราะนอกจากจะได้รับความสดชื่นจากสายฝนแล้ว ผู้ขับขี่ยังรู้สึกมั่นใจกับการยึดเกาะพื้นผิวถนนของ “ฟินน์” เป็นอย่างมาก แม้ว่าพื้นถนนจะเปียกชื้นแต่ยางติดก็ยังคงมีความหนึบและยึดเกาะถนนได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่แช่เท้าในบ่อน้ำร้อนจนสบายตัวแล้ว (แอบเสียดายที่ไม่ได้เตรียมชุดมาเปลี่ยน) “ขบวนการฟินน์” ก็เคลื่อนขบวนเดินทางต่อโดยมุ่งหน้าสู่ หาดบางเบน ในเขตอุทยานแห่งชาติแหลมสน ซึ่งอยู่ห่างจากบ่อน้ำร้อนพรรั้งไปประมาณ 50 กม. ทำให้การเดินทางในช่วงนี้ ยามาฮ่า ฟินน์ ต้องรับบทหนักพอสมควร เพราะพวกเราเดินทางด้วยความเร็วเฉลี่ยประมาณ 70-80 กม./ชม. ในสภาพเส้นทางที่เปียกชื้นและมีเนินเขาสลับกันไปเป็นช่วงๆ แต่ด้วยเครื่องยนต์ที่มีกำลังขนาด 115 ซีซี. ก็สามารถตอบสนองพละกำลังได้อย่างเหลือเฟือ และด้วยสมรรถนะช่วงล่างที่ดีก็สามารถทำให้ผู้ขับขี่สามารถที่จะเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่เขียวชอุ่มตลอดสองข้างทางได้แบบฟินน์ๆ
สำหรับที่ชายหาดบางเบนนั้น “ขบวนการฟินน์” ได้สัมผัสกับหาดทรายยาวและกว้างใหญ่ ที่มีเม็ดทรายละเอียด แถมร่มรื่นด้วยป่าสนธรรมชาติขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อยืนอยู่บริเวณชายหาดจะมองเห็นเกาะต่างๆ ในทะเลฝั่งอันดามันได้อย่างสวยงามเลยทีเดียว และหลังจากที่ชื่นชมกับความงดงามของทะเลฝั่งอันดามันที่หาดบางเบนกันแล้ว เราก็เคลื่อนขบวนฟินน์ไปเก็บภาพต่อกันที่ “เกาะเปียกน้ำน้อย” ที่อยู่ไม่ห่างจากทางเข้าอุทยานแห่งชาติแหลมสนนัก ซึ่งที่นี่เราสามารถที่จะเดินเล่นไปตามโขดหิน หรือจะนั่งเล่นชิลล์ๆ ในศาลากลางน้ำ หรือจะขับขี่ “ยามาฮ่า ฟินน์” เพื่อถ่ายภาพสุดฟินน์กันบนสะพานปูนที่ทอดยาวเหนือน้ำทะเลที่เชื่อมระหว่างตัวเกาะกับแผ่นดินได้อย่างสบาย
เมื่อฟินน์กับธรรมชาติและเก็บภาพเป็นที่ระลึกกันอย่างเต็มอิ่มแล้ว “ขบวนการฟินน์” ก็พักรับประทานอาหารกลางวันกันที่ “ครัวลับแล” ที่อยู่ใกล้ๆ กับทางเข้าเกาะเปียกน้ำน้อย ซึ่งร้านนี้ต้องบอกว่าอเมซิ่งมากๆ เพราะซ่อนตัวอยู่ในร่มไม้ที่หน้าทึบ ทางเข้าก็เป็นทางดินที่มีหญ้าปกคลุมดูเหมือนรกร้าง...แต่!!! เป็นร้านที่รสชาติอาหารอร่อย วัตถุดิบสดใหม่ และให้บริการเหมือนกับครัวที่บ้านตัวเอง ซึ่งคุณป้าเจ้าของร้านบอกว่าลูกค้าประจำส่วนใหญ่จะมาจากในเมืองและจะมีการโทรมาสั่งจองกันแบบล่วงหน้า...ถือเป็นความโชคดีของคณะเรามากๆ ที่วอล์คอินเข้ามาแบบได้รับประทานมื้อเที่ยงกันที่ร้านนี้
หลังจากที่อิ่มท้องเรียบร้อย “ขบวนการฟินน์” ก็เคลื่อนขบวนต่อ โดยมีจุดหมายอยู่ที่ “ภูเขาหญ้า” ที่มีระยะทางห่างไปประมาณ 45 กม. เป็นเส้นทางย้อนกลับเข้าเมือง ทำให้พวกเรากดคันเร่งกันแบบ “ฟินน์…ฟินน์” เพราะคุ้นกับเสนทางกันแล้วในช่วงขามา ซึ่ง “ยามาฮ่า ฟินน์” ก็ตอบสนองการขับขี่ได้เป็นอย่างดี และแม้จะพึ่งกินอิ่มมาแต่ด้วยความนุ่มนวลและความสบายเมื่อนั่งขับขี่ ทำให้เราเดินทางกันได้แบบมีความสุขและไม่จุกเสียดกันแม้แต่น้อย...แต่แล้วขบวนของเราก็ต้องพักเบรกก่อนที่จะถึงจุดหมายประมาณ 2 กม. เนื่องจากพายุฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทำให้เราเลือกที่จะจอดหลบฝนกันที่ร้านขายของที่ระลึกและติดฝนอยู่เกือบ 2 ชม. เลยทีเดียว แต่ก็ทำให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศความสดชื่น กลิ่นฝน กลิ่นดิน และมิตรภาพระหว่างกันได้เป็นอย่างดี
ซึ่งเมื่อฝนเริ่มซาลง “ขบวนการฟินน์” ก็ตัดสินใจยกโปรแกรมภูเขาหญ้าออกไปก่อน โดยมุ่งหน้ากลับสู่ตัวเมืองเพื่อรับประทานอาหารเย็นที่ร้านสมบูรณ์โภชนาที่เป็นร้านเก่าแก่ของเมืองแร่นอง โดยตลอดเส้นทางขากลับนี้ “ยามาฮ่า ฟินน์” ต้องเจอกับพื้นถนนที่เปียกแฉะตลอดเวลา แต่เครื่องยนต์ระบบหัวฉีดก็ยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่องและแม่นยำ ไม่มีอาการสะดุดแม้แต่น้อย อีกทั้งช่วงล่างก็แสดงสมรรถนะออกมาได้อย่างเต็มที่ ทำให้เรารู้สึกได้ชัดเจนว่าช่วงล่างและการยึดเกาะถนนของยามาฮ่า ฟินน์ นั้น ยอดเยี่ยมเพียงใด!!!
หลังจากที่ฝากท้องมื้อเย็นกันที่ร้านสมบูรณ์โภชนาเรียบร้อย “ขบวนการฟินน์” ก็เดินทางกลับที่พักที่ “โรงแรมบ้านชิโน” ที่พักแนวๆ ตกแต่งสไตล์ชิโนโปรตุกิส ตัวตึกเป็นตึกใช้โทนสีขาว ซึ่งให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองกับผู้พักอาศัยเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่สมาชิกจะแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัยแบบฟินน์ๆ หลังจากเดินทางกันในวันนี้กว่า 120 กม.
สำหรับรุ่งเช้าวันใหม่ “ขบวนการฟินน์” พร้อมออกเดินทางกันต่อ โดยจุดหมายแรกของวันนี้อยู่ที่ “น้ำตกหงาว” ซึ่งนับเป็นน้ำตกคู่เมืองระนอง เพราะทุกคนที่เดินทางผ่านตัวเมืองระนองจะต้องเห็นสายน้ำสีขาวของน้ำตกหงาวที่ไหลตกลงมาจากหน้าผาสูงที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ไม่ห่างจากริมถนนสายหลักมากนัก โดยอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาวนี้มีสภาพป่าและภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับซับซ้อน มีไม้มีค่าเป็นจำนวนมาก เป็นป่าต้นน้ำลำธาร สัตว์ป่าชุกชุม ธรรมชาติสวยงามเหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง โดยเราขับขี่ “ยามาฮ่า ฟินน์” กันแบบชิลล์ๆ ท่ามกลางสภาพอากาศที่สดชื่น ท้องฟ้าสดใส จากที่พักไปเพียงแค่ประมาณ 15 กม. เท่านั้นเอง
จากนั้นเราก็ข้ามฝั่งถนนจาก “น้ำตกหงาว” ไปยังจุดหมายหลักที่เป็นไฮไลท์ของทริปนี้ นั่นคือ “ภูเขาหญ้า” สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองระนอง เหมือนคำขวัญที่ว่า “คอคอดกระ ภูเขาหญ้า กาหยูหวาน ธารน้ำแร่ มุกแท้เมืองระนอง” โดยภูเขาหญ้าเป็นภูเขาหัวโล้นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ขนาดไม่สูง เนินเขาแต่ละลูกมีทางเดินเชื่อมถึงกัน ด้านบนสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้โดยรอบ ในหน้าฝนภูเขาหญ้าจะเป็นสีเขียวดูสวยงาม ส่วนในหน้าแล้งภูเขาหญ้าก็จะเป็นหญ้าแห้งสีน้ำตาล...และมีเส้นทาง “ดินหนังหมู” ที่สามารถสร้างความสนุกและความเร้าใจแบบสุดฟินน์ให้กับเหล่านักบิดที่ชื่นชอบการผจญภัยได้เป็นอย่างดี ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ไม่รีรอที่จะขับขี่ “ยามาฮ่า ฟินน์” ลุยกันในสไตล์ออฟโรดแบบเบาๆ เพื่อลองไต่เนินดิน ลุยทางวิบาก แบบพอหอมปากหอมคอ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คณะเราได้สัมผัสสมรรถนะอีกด้านของ “ฟินน์” ได้มากขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นรถครอบครัวที่ใช้ในเมืองเป็น ขับขี่ท่องเที่ยวทางไกลได้แล้ว ยังสามารถที่จะเอามาลุยๆ บนเส้นทางวิบากได้อีกด้วย...
โดยหลังจากที่สนุกสุดฟินน์กันที่ภูเขาหญ้ากันอยู่พักใหญ่แล้ว “ขบวนการฟินน์” ก็เดินทางวกกลับเข้าตัวเมืองเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันที่ “ร้านคุ้นลิ้น” ร้านอาหารใต้พื้นบ้านสูตรระนองแท้ๆ ที่เปิดให้บริการมายาวนานกว่า 20 ปี ภายใต้สโลแกน EAT DRINK SMILE แถมมีกิจกรรมชิคๆ เก๋ๆ เข้ามาเอี่ยวให้ได้ความสนุกสนานพร้อมรอยยิ้ม ด้วยความที่ ระนอง ได้ชื่อว่าเป็นเมืองฝน 8 แดด 4 ทางร้านจึงมีวิธีแก้เคล็ดสุดเก๋ด้วยการนำตุ๊กตาไล่ฝนมาให้เติมหน้าเติมตา ใส่แคปชั่นเก๋ๆ หรือจะแจกไลน์ แจกเบอร์ เพื่อไล่เหงา ไล่เศร้า ไล่โสดจนสาแก่ใจ จากนั้นก็นำไปแขวนไว้ที่ร้าน หรือจะนำกลับบ้านเป็นของที่ระลึกก็ได้ ทำให้พวกเราได้ฟินน์กันแบบสุดๆ กับทั้งกิจกรรมในร้านและอาหารที่แสนอร่อย
สำหรับโปรแกรมในช่วงบ่ายหลังจากมื้อเที่ยง “ขบวนการฟินน์” ก็เดินทางต่อไปยัง “ระนองแคนย่อน” สถานที่ท่องเที่ยวจะมีความสวยงามแปลกตา คือเป็นสระน้ำขนาดย่อมที่โอบล้อมด้วยหุบเขา เนื่องมาจากที่นี่เคยเป็นเหมืองแร่เก่ามาก่อน ซึ่งเดิมเรียกว่า “บึงมรกต” เพราะเมื่อมองจากเนินเขาข้างบนลงมาจะเห็นน้ำในบึงใสแจ๋วสะท้อนสีของฟ้าและต้นไม้เป็น สีเขียวอมฟ้าดุจดังมรกต และที่นี่ยังมีกิจจกรรมที่สามารถให้อาหารปลาที่อาศัยอยู่ในบึงน้ำได้ ปลาที่อาศัยอยู่ได้แก่ ปลาพลวง ปลาตะเพียนแดงปลาดุก ฯลฯ มีร้านค้าจำหน่ายอาหารปลาอยู่บริเวณใกล้เคียงอย่างพร้อมสรรพ
ซึ่งเส้นทางการเดินทางในช่วงนี้ทั้งขาไปและกลับ เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างเล็ก คดโค้ง และขึ้นเขาลงเขาสลับกันไป แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับ “ยามาฮ่า ฟินน์” แม้แต่น้อย เพราะผู้ขับขี่สามารถที่จะขับขี่รีดพละกำลังจากเครื่องยนต์ออกมาใช้งานได้อย่างต่อเนื่องแบบสบายๆ อีกทั้งระบบกันสะเทือนหน้าหลังก็สามารถที่จะซับแรงสั่นสะเทือนช่วยให้การยึดเกาะถนนมีความมั่นคงเป็นอย่างมากในจังหวะที่ผู้ขับขี่เข้าโค้ง ทั้งแบบโค้งต่อเนื่องสลับซ้ายขวา การโค้งโค้งด้วยความเร็ว หรือการเข้าโค้งแคบๆ อีกทั้งการควบคุมคอนโทรลรถก็สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วและควบคุมได้อยู่มือในทุกจังหวะการขับขี่ ทำให้ “ขบวนการฟินน์” รู้สึกสนุกกับการขับขี่ในช่วงนี้เป็นอย่างมากทีเดียว
โดยจุดหมายสุดท้ายของทริปนี้ “ขบวนการฟินน์” ไปกันที่ “พระราชวังรัตนรังสรรค์” (จำลอง) ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองระนอง เป็นพระราชวังที่จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์การเสด็จประทับแรมจังหวัดระนองของพระมหากษัตริย์ 3 พระองค์ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เป็นพระราชวังที่ทำด้วยไม้สักและไม้ตะเคียนทอง และจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งของเมืองแร่นองอีกด้วย
ก่อนที่จะปิดทริป “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย...ใช้น้ำมันถังเดียว@ระนอง” ด้วยการขับขี่ “ยามาฮ่า ฟินน์” มาจอดที่ ยามาฮ่าสแควร์ สินชัยระนองกลการ โดยระยะทางขับขี่ในทริปนี้รวม 183.8 กม. เราใช้เงินเติมน้ำมันไปเพียง 90.3 บาท จำนวนน้ำมันที่ใช้คือ 2.95 ลิตร เฉลี่ยค่าประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 62.30 กม./ลิตร...ซึ่งถือว่าเป็นทริปที่สุดฟินน์อีกทริปหนึ่ง เพราะได้สัมผัสทั้ง ภูเขา...ทะเล...น้ำตก...น้ำแร่...เมืองเก่า...ฝนแปด แดดสี่...ที่เมืองแร่นองจัดให้ “ฟินน์” กันแบบครบรสเลยทีเดียว!!!