Last updated: 2 ต.ค. 2567 | 1947 จำนวนผู้เข้าชม |
ในฤดูกาลที่ผ่านมากล่าวได้ว่าเป็นอีกช่วงเวลาที่ยากลำบากของนักแข่งดีกรีแชมป์โลก 9 สมัย อย่าง Valentino Rossi ที่กล่าวได้ว่ามีผลงานไม่ดีเช่นช่วงเวลาที่เคยย้ายไปร่วมงานกับ Ducati แน่นอนว่าแฟนคลับส่วนใหญ่ยังพอที่จะ “ให้กำลังใจและยังอยากเห็นเขาโลดแล่นในสังเวียนต่อไป” ทว่าก็มีบางเสียงที่แสดงความคิดว่าทำนองว่า “น่าจะอำลาสนามได้แล้วนะ”
เดี๋ยวๆ แฟนๆ FRM ที่เป็นสาวกพ่อหมออย่าเพิ่ง “มีโทสะ” เราขอออกตัวก่อนว่า เป็นการนำเสนออีกด้านหนึ่งเท่านั้นเองว่า มีแฟนคลับฝั่งยุโรปบางส่วนที่พวกเขาคิดเช่นนั้นจริง ส่วนเนื้อหาเป็นอย่างไรลองมาอ่านที่กอง บก. FRM เราค่อยๆ ตรึกตรองไปเรื่อยๆ ดูบ้าง หลังจากที่ The Doctor ต้องติดอยู่ในวังวนที่มืดมนอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาอยู่ในเรือลำเดียวกับ Yamaha ทีมที่เคยร่วมหัวจมหางสู่ความสำเร็จอย่างมากมาย “จริงหรือที่รอสซี่ควรจะอำลาสนาม”
สิบปีก่อนหน้านี้ ที่จริงเคยมีสื่อในยุโรปสัมภาษณ์และเขาเองก็เปิดเผยถึงความกังวลเกี่ยวกับนักแข่งรุ่นใหม่ๆ อย่าง Jorge Lorenzo, Dani Pedrosa และ Casey Stoner ที่กำลังก้าวขึ้นมาเทียบชั้นเขาในสังวียน MotoGP
“พวกเขาเปรียบเสมือนฉลามที่วนอยู่รอบตัวผม” Valentino กล่าวกับนักข่าวในช่วงปี 2009 ที่ Mugello GP “ถ้าผมแข็งแกร่งไม่เพียงพอ ผมรู้ว่าพวกเขาสามารถที่จะกินผมได้ด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว พวกเขากำลังกระหายเพียงเลือดหยดเล็กของผมที่ไหลออกมานั่นอาจจะทำให้พวกเขาคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะขย้ำผม”
นั่นคือความกังวลที่ The Doctor เคยเปรียบเทียบถึงนักแข่งดาวรุ่งพุ่งแรงเสมือนฝูงฉลามที่กระหายในชัยชนะ พร้อมตลอดเวลาที่จะจัดการเขาในสังเวียนแข่งขัน ถึงตอนนี้ Stoner อำลาสนามไปในปี 2012, Pedrosa ยุติชีวิตนักแข่งเมื่อปีที่ผ่านมา และ Jorge Lorenzo ประกาศยุติชีวิตนักแข่งในสนามสุดท้ายที่ผ่านมา ขณะที่ Valentino Rossi ยังคงเป็นหนึ่งในขุนพลความเร็วที่ลงกรำศึกในสังเวียน และเตรียมที่จะเข้าสู่สมรภูมิฤดูกาลที่ 25 ในระดับ Grand Prix Racing ของตัวเขา ที่สามารถทำสถิติต่างๆ มากมาย นับตั้งแต่เริ่มมีการจัดการแข่งขัน Grand Prix Racing ครั้งแรกในปี 1949 รวมประมาณ 940 ครั้งนั้น Valentino Rossi กลับสามารถมีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์มากกว่า 400 ครั้ง
ทว่าในฤดูกาล 2019 ที่ผ่านมานั้น เขาทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน นอกเหนือจากช่วงสองปีที่ร่วมงานกับ Ducati ที่สถานการณ์แย่กว่านี้ก็ตาม โดยในฤดูกาลที่ผ่านมาเขาทำผลงานเฉลี่ยมีแต้มสะสม 9.1 คะแนนต่อสนาม ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับที่เคยทำค่าเฉลี่ยไว้ 22.3 คะแนนต่อสนามในปี 2003 นั่นทำให้เริ่มมีแฟนๆ บางส่วนเริ่มอยากจะให้เขา “อำลาสนาม” ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาเร็วไม่พอ เขาไม่แข็งแกร่งแบบเดิม เขากำลังทำลายความเป็นตำนานของตัวเอง เขากำลังสร้างความผิดหวังให้กับแฟนๆ หรือแม้แต่เขาควรจะเปิดทางให้นักแข่งรุ่นใหม่ได้ก้าวมา และแม้แต่เขาควรจะก้าวขึ้นไปรับบทบาทอื่นที่ดีกว่าการเป็นนักแข่ง และอื่นๆ อีกมากมาย ตามแต่ที่จะนึกหาเหตุผลมากล่าวอ้าง
ทว่าหยุดพักฟังสักนิด ค่อยๆ คิดตามครับ ถูกต้องแล้วล่ะที่ว่า The Doctor ไม่ใช่คนเดิม ไม่ใช่คนที่เขาเคยเป็นเคยมีความแข็งแกร่งเช่นในยุคเฟื่องฟู แต่ใช่ตัวเขาจริงหรือที่เร็วไม่มากพอ จนไม่สามารถชนะได้มากกว่าสองปีที่ผ่านมา ทว่าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ล่ะ Yamaha ลงสนามไป 47 ครั้งใน MotoGP โดยที่สามารถคว้าชัยมาได้เพียงสามครั้งเท่านั้น “เกี่ยวกับ Valentino Rossi จริงหรือ” และเขาจำเป็นที่จะต้องรับผิดต่อการที่มีผลงานต่ำกว่ามาตรฐานเพียงผู้เดียวเท่านั้นหรือ
บางสนามที่มีปัญหาในระหว่างสัปดาห์ของการแข่งขันต่างเหมือนๆ กับทุกทีม เช่นสภาพอากาศ สภาพสนาม TheDoctor กลับสามารถเบียดขึ้นไปยืนบนโพเดี้ยมได้สำเร็จ ในบางสนามที่มีการแข่งขันที่ขับเคี่ยวกันสูงหลายคนทำเวลาแทบจะวินาทีเดียวกัน เขาสามารถที่จะตามทีมเมทที่ได้ชื่อว่าเป็นนักแข่งที่เร็วที่สุดอย่าง Maverick Vinales ที่ผ่านเส้นชัยเป็นคันแรก โดยที่ Valentino ช้ากว่า 5.9 วินาที ซึ่งมีการทำข้อมูลแปรช่องห่างเวลามาเป็นเปอร์เซ็นต์นั้น ก็พบว่า ค่า performance ในเกมนี้ของ Valentino Rossi คือ 99.7 เปอร์เซ็น เมื่อเทียบกับผู้ชนะ นั่นบอกได้ว่า “เขาไม่ได้ช้าเกินไป หรือเขาเร็วไม่พอ” หรือแม้แต่การคำนวณผลจากห้าสนามแรกของฤดูกาลเมื่อเทียบความเร็วของผู้ชนะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ เอามาคำนวณ performance ของ The Doctor จะพบว่าเขาอยู่ในระดับ 99.8 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป หรือแม้แต่บางสนามที่เขาไม่มั่นใจกับรถแข่ง ตลอดทั้งสัปดาห์เช่นที่ Mugello ในปีที่ผ่านมา เขากลับสามารถกลับมาทำความเร็วในช่วงของการแข่งขันได้เร็วกว่าผู้นำการแข่งขัน หรือในเกมที่ Assen ที่ทีมงานพยายามทำการเซ็ทติ้งให้ดีที่สุดตลอดสัปดาห์กว่าจะมีความพร้อมก็รอจนถึงช่วงลงสนามแข่งขันจริง ก็ปรากฏว่าเขาสามารถขยับความเร็วจาก 1.34.6 มาเป็น 1.34.0 นาที ได้ ก่อนที่จะพลาดล้มตามที่ได้ชมกันไปแล้ว
“เราพยายามโมดิฟายอะไรหลายอย่างเพื่อให้พร้อมมากขึ้นในการแข่งขัน ซึ่งก็ปรากฏว่าผมสามารถทำความเร็วได้มากขึ้นจากการซ้อม จนผมมั่นใจกับรถแข่งมากขึ้น ขยับไล่ตำแหน่งขึ้นไปข้างหน้า ก่อนที่ผมจะเสียการควบคุมที่ล้อหน้า ขณะพยายามแซง Nakagami จนทำให้เขาล้มไปด้วยกัน ผมต้องขอโทษเขาด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น น่าผิดหวังกับการที่ล้มสามครั้งในสนามเดียวกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสนามที่ผมถนัดและชื่นชอบมากเป็นพิเศษ เรายังคงต้องพยายามที่จะหาอะไรบางอย่างเพื่อที่จะปรับให้เรามีโอกาสสู้ได้มากกว่านี้ ผมต้องการหาบทสรุปที่จะช่วยให้กลับมาทำความเร็วได้ดีขึ้น ผมช้าในเซคชั่นที่ต้องการใช้ความเร็วและรถแข่งก็หนักจนผมรู้สึกไม่สบายในจังหวะของการขี่ตรงนั้น ผมเชื่อว่าเราจะสามารถหาทางกลับมาแข็งแกร่งมากกว่านี้ได้อีก”
นักแข่งระดับตำนานในอดีตอีกหลายคนต่างก็พยายามที่จะยืนหยัดอยู่ในสังเวียนให้ยาวนานที่สุด “เพื่อใช้ชีวิตกับกีฬาที่เขารัก” อยู่ให้นานที่สุดตราบเท่าที่จะยังไหว ก่อนจะตัดสินใจอำลาสนาม ดังนั้นไม่แปลกอะไรที่ Valentino Rossi จะยังพยายามทำในสิ่งที่รัก ความเป็นตำนาน สถิติของเขาก็จะยังคงอยู่ เพียงแต่ว่าจะมีใครทำลายสถิติที่เขาทำได้เมื่อไร แต่ถึงแม้ว่าสถิติจะถูกทำลายไป ซึ่งเป็นธรรมดาของวงการกีฬาต่างๆ แต่ความเป็นตำนาน ความสำเร็จ ที่เขาทำได้นั้น ก็จะยังคงอยู่ต่อไปในหน้าประวัติศาสตร์ของกรังด์ปรีซ์ เขาจะยังเป็นส่วนหนึ่งของตำนานต่อไป ดังนั้นหากมองเพียงผลงานที่ตกต่ำก็ไม่แปลก เพราะนี่เป็นช่วงชีวิตนักแข่งช่วงสุดท้าย ที่น่าจะเทียบได้กับช่วงยามเย็นของวัน อยู่ที่เขาจะเลือก “อำลาสนามเมื่อไร” เพียงแต่เวลานี้การฟิตสภาพร่างกาย การยืนหยัดต่อสู้นั้น เป้าหมายย่อมต่างไปจากเดิม แน่นอนว่านักแข่งทั่วไปหรือตำนานคนอื่นๆ ในอดีต มักจะพยายามถนอมตัวไม่เสี่ยงจนเกินไปเพื่อซึมซับชีวิตในช่วงสุดท้ายกับสิ่งที่เขารัก ก่อนจะ “ตัดสินใจเมื่อถึงเวลา” ถึงเวลานี้ Yamaha เริ่มมีสัญญาณบวกในการพัฒนารถแข่ง ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ The Doctor จะสามารถเพิ่มโอกาสให้กับตนเองในการต่อสู้เพื่อผลงานที่กระเตื้องขึ้นจากเดิม อย่างที่ทิ้งคำถามไว้ว่า “จริงหรือที่ผลงานไม่ดีเพราะเขาเร็วไม่พอนั่นแหละ” แม้ว่าความฝันในการไล่ล่าแชมป์โลกสมัย 10 จะยังคงมีอยู่ ทว่าความจริงคือ เขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับที่เคยเป็นหรือเคยทำได้ ทว่าความเร็วยังคงมี ดังนั้นเชื่อว่าหากรถแข่งรุดหน้ามากขึ้น เราก็จะได้เห็นและชื่นชมเขาก้าวขึ้นบนโพเดี้ยมในปี 2020
และที่สำคัญกว่าเหตุผลอื่นใด ก็คือ “เขายังคงรักในสิ่งที่เขาทำ” เขายังรักและกระหายการชิงชัยใน MotoGP เขายังชื่นชอบชีวิตในสนามแข่ง เขายังคงมีไลฟ์สไตล์แบบที่เคยเป็น เขายังคงมุ่งมั่นฝึกฝนควบคุมสมรรถนะร่างกายและเรียนรู้ทักษะการขับขี่ เขายังสนุกกับการนำ YZR-M1 ออกจากพิทเลนเข้าสู่แทร็ค เขายังคงมีใช้ชีวิตเช่น 24 ปีที่ผ่านมาในฐานะนักแข่งกรังด์ปรีซ์ และในระดับกรังด์ปรีซ์ก็คือเกมการแข่งขันในระดับอาชีพ ดังนั้นทุกคนต่างเต็มที่ ทุกคนต่างทำตามความฝัน ที่จำเป็นต้องทุ่มเทมุ่งมั่นอย่างหนักที่จะสร้างความสำเร็จด้วยตัวเอง ดังนั้นหากใครบางคนบอกว่า เขาน่าจะเปิดทางให้เด็กรุ่นใหม่ ตราบใดที่ยังต้องมากังวลคนอื่นที่โค้งแรกว่าใครจะเป็นยังไง คุณก็ควรจะอยู่แค่กิจกรรมแบบคลับเรซหรือแทร็คเดย์เท่านั้นแหละ ขณะเดียวกันโค้วตา factory seat นั้น จะเป็นของใคร มิใช่หน้าที่ของ Valentino Rossi แต่อย่างใด เพราะเขามีหน้าที่คือ เป็นนักแข่ง ส่วนการตัดสินใจเป็นเรื่องของ Yamaha ที่จะพิจารณาว่า ใครเหมาะสมกับเก้าอี้นักแข่งโรงงานนี้
ที่สำคัญอย่างยิ่งยอด ที่เป็นธรรมดาของวงการแข่งขันรถจักรยานยนต์หรือมอเตอร์สปอร์ตอื่นๆ ก็คือ “การขายของ” ว่ากันว่าเวลานี้ The Doctor ยังคงสามารถช่วยให้ Yamaha ขายรถจักรยานยนต์ได้ ที่สำคัญมีเสียงอ้างว่า ชื่อเสียงของเขานั้นสามารถช่วยทำยอดขายได้มากกว่าทั้ง Vinales และ Fabio Quartararo ทำได้ร่วมกันซะอีก “เชื่อเถอะว่าเมื่อชื่อชั้นยังช่วยขายของได้” ดังนั้นเขาก็ยังคงอยู่ในลิสต์โควต้า Factory Seat ของ Yamaha ต่อไปนั่นเอง
ส่วนตัว The Doctor จะสามารถรักษาสภาพร่างกายและยืนหยัดทำหน้าที่ได้ในระดับใดในปัจจุบันเขาก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของตำนานในหน้าประวัติศาสตร์ของ Motorcycles Grand Prix Racing ที่ยังคงโลดแล่นต่อไป ในฤดูกาลหน้ากับ 2020 MotoGP ที่เราจะยังคงเห็นเขาใน ThaiMotoGP ที่ บุรีรัมย์ แล้วคุณล่ะ!! วางแผนจะไปนั่งบน Rossi stand ด้วยกันไหม???