Last updated: 2 ต.ค. 2567 | 55240 จำนวนผู้เข้าชม |
“ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” เดินทางต่อเนื่องมาถึงครั้งที่ 3 กันแล้ว โดยในคราวนี้เรามา “ฟินน์...ย้อนรอย อารยธรรมขอม ถิ่นภูเขาไฟ เมืองแปะ” กันที่ จ.บุรีรัมย์ โดยครั้งนี้ “ยามาฮ่า ฟินน์” จะได้พบกับเส้นทางที่แตกต่างจาก 2 ครั้งที่ผ่านมา เพราะต้องเจอกับการเดินทางด้วยความเร็วสูงที่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน อีกทั้งยังต้องขึ้นเขา ไต่เนิน ในระดับสูงๆ ต่ำๆ อยู่เกือบตลอดเส้นทาง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์สมรรถนะของรถจักรยานยนต์ครอบครัวยุคใหม่รุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี!!!
สำหรับกิจกรรม “ฟินน์...ย้อนรอย อารยธรรมขอม ถิ่นภูเขาไฟ เมืองแปะ” เริ่มต้นขึ้นในเวลาประมาณ 15.00 น. ที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า อึ้งทงกี่ยานยนต์ ที่ตั้งอยู่กลางเมืองบุรีรัมย์ โดยในครั้งนี้ขบวนการฟินน์ได้ 2 สาว ที่เป็น “ลูกค้ายามาฮ่า” ร่วมทริป “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” ร่วมกับสื่อมวลชนอีก 4 สำนัก และเมื่อพร้อมเดินทาง “ยามาฮ่า ฟินน์” ทั้ง 6 คันก็เคลื่อนขบวนออกจากร้านยามาฮ่าสแควร์มุ่งหน้าเข้าปั๊มน้ำมันซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เพื่อเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 เต็มให้เต็มถัง พร้อมทั้งเซ็ต 0 เริ่มต้นการเดินทาง…
จุดหมายแรกของขบวนการฟินน์ “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” ครั้งนี้คือ “วนอุทยานเขากระโดง” ปากปล่องภูเขาไฟที่ดับสนิท และยังมีโบราณสถานกู่เขากระโดง และเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง และมี “พระสุภัทรบพิตร” ที่อยู่จากจากจุดเริ่มต้นของทริปนี้ไปประมาณ 10 กม. เท่านั้นเอง ถือเป็นการขับขี่วอร์มเครื่อง “ยามาฮ่า ฟินน์” ไปแบบชิลล์ๆ แต่ก็ทำให้เราได้สัมผัสกับ “แรงบิด” ของเครื่องยนต์ 115 ซีซี. ที่มีพละกำลังแบบเหลือๆ ในการไต่ระดับความสูงชันของ “เขากระโดง” ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 283 ม. ขึ้นไปแบบสบายๆ แม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งเกียร์ 2-3 ก็ตาม หลังจากที่สักการะ “พระสุภัทรบพิตร” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองบุรีรัมย์ ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2512 พระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 12 ม. ฐานยาว 14 ม. และชื่นชมทัศนียภาพเมืองบุรีรัมย์ที่สามารถมองเห็นสนามแข่งรถ ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ได้อย่างเต็มตาแล้ว เราก็ลงไปฟินน์ต่อที่ปากปล่องภูเขาไฟเขากระโดง ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทลูกสุดท้ายของเมืองไทย มีอายุประมาณ 3 แสนถึง 9 แสนปี โดยเราเดินเล่นแบบฟินน์ๆ บนสะพานเชือกที่แขวนผาดเหนือปากปล่องภูเขาไฟกัน ซึ่งสถานนี้แห่งนี้ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อให้ทุกคนได้มาเช็คอิน!!!
จากนั้นขบวนการฟินน์เดินทางลงจากยอดเขากระโดง ซึ่งเอ็นจิ้นเบรกของ “ยามาฮ่า ฟินน์” ช่วยให้การขับขี่ลงเขาในเส้นทางลาดชันแบบนี้มีความปลอดภัยสำหรับผู้ขับขี่ใช้งานทั่วไปอย่างมาก เพราะช่วยฉุดให้รถไม่ไหลลงเขาเร็วจนเกินไป ทำให้ใช้เบรกหน้าหลังในการชะลอความเร็วน้อยมาก โดยจุดหมายต่อไปคือ “วัดป่าเขาน้อย” ที่ตั้งอยู่ห่างจากเขากระโดงเพียงแค่ 3.5 กม. เท่านั้น โดยวัดแห่งนี้เป็นวัดป่ากรรมฐานสาย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งมี “พระเจดีย์ศรีสุวจคุณานุสรณ์” ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และอัฐิธาตุของหลวงปู่สุวัจน์ อดีตเจ้าอาวาส โดยเราได้เข้าไปกราบนมัสการเพื่อความเป็นสิริมงคล สำหรับ พระเจดีย์สุวจคุณานุสรณ์ นี้ มีศิลปกรรมที่งดงาม มีรูปลักษณ์ที่แสดงออกถึงศิลปวัฒนธรรมของอีสาน และมีรูปทรงราวกับปราสาทหินที่ดูอลังการอย่างยิ่ง
โดยขบวนการฟินน์ปิดท้ายวันกันด้วยการขับขี่ไปชมพระอาทิตย์ตกดินกันที่ “อ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก” ที่ทาง จ.บุรีรัมย์ ได้ทุ่มงบจำนวนมากในการปรับภูมิทัศน์ใหม่เพื่อให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ไว้คอยต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งก็ไม่ทำให้สมาชิก “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” รู้สึกผิดหวังแม้แต่น้อย เพราะด้วยทัศนียภาพและบรรยากาศที่มีทั้งผืนน้ำและทุ่งหญ้าที่อาบแสงอาทิตย์ในยามเย็นนั้น ทำให้เรารู้สึกฟินน์กันแบบเต็มทีเลยทีเดียว ขนาดเจ้าถิ่น 2 สาวที่ร่วมการเดินทางในครั้งนี้ยังถึงกับอ้าปากค้าง เพราะว่ายังไม่เคยมาเห็นภาพที่สวยงามที่นี่ในช่วงเวลาเช่นนี้เหมือนกัน ทำให้ต่างก็ถ่ายรูปเซลฟี่กันอย่างสนุกสนานกันเลยทีเดียว ก่อนที่จะเดินทางกลับเข้าตัวเมืองเพื่อรับประทานอาหารเย็นที่ ร้านเพลงเพลิน ซึ่งเป็นร้านอาหารชื่อดังของบุรีรัมย์ที่นอกจากมีอร่อยที่แสนอร่อยแล้ว ยังมีบรรยากาศชิลล์ๆ ทำให้สมาชิกขบวนการฟินน์ต่างอิ่มเอมกันเต็มที่ ก่อนเดินทางเข้าที่พัก ณ โรงแรมธาดาชาโตว์ !!!
เช้าวันใหม่...สมาชิกที่ร่วมเดินทาง “ฟินน์...ย้อนรอย อารยธรรมขอม ถิ่นภูเขาไฟ เมืองแปะ” ต่างมาพร้อมกันที่ลานจอดรถ พร้อมตัวเช็คความเรียบร้อยของ “ยามาฮ่า ฟินน์” เพื่อเตรียมตัวเดินทางไกล สำหรับจุดหมายแรกของวันนี้อยู่ที่ “ปราสาทเมืองต่ำ” ศาสนสถานในศาสนาฮินดู ศิลปะขอมโบราณ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 16-17 ที่มีระยะทางประมาณ 62 กม. โดยตลอดเส้นทางเราใช้ความเร็วที่ 80 กม./ชม. ที่เป็นความเร็วที่สามารถแซงรถชาวบ้านที่ขับขี่ใช้งานทั่วไปได้แบบสบายๆ อีกทั้งบางจังหวะยังกดคันเร่งเพิ่มความเร็วเพื่อเร่งแซงรถช้าในช่วงเส้นทาง 2 เลนสวนกันอีกด้วย ซึ่งเครื่องยนต์สามารถตอบสนองการทำงานได้แบบรอบเครื่องยนต์ไม่มีตก ไม่มีอาการสะดุด แม้ว่าจะขับขี่ต่อเนื่องท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างร้อนเป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง รวมถึงเบาะนั่งที่นุ่มสบายและท่านั่งที่แม้จะนั่งขับขี่มานานก็ช่วยให้เราไม่เกิดความเมื่อยล้า ทำให้สามารถเดินชมซากอารยธรรมโบราณสถานแห่งนี้ได้ต่อทันทีที่ลงจาก “ยามาฮ่า ฟินน์”
หลังจากที่ชื่นชม “ปราสาทเมืองต่ำ” กันจนฟินน์สุดๆ แล้ว ขบวนการฟินน์ก็ออกเดินทางต่อไปยังร้านอาหาร ครัวอนงค์ ที่ตั้งอยู่ปากทางเข้า อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง เพื่อรับประทานอาหารเที่ยง ซึ่งเส้นทางในช่วงนี้เป็นทางขึ้นเขาต่อเนื่องระยะทางเกือบ 8 กม. ทำให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับแรงบิดในการไต่เข้าของ “ยามาฮ่า ฟินน์” กันเต็มๆ ซึ่งทุกคนต่างก็รู้สึกประทับใจกับเครื่องยนต์ของรถครอบครัวรุ่นนี้เป็นอย่างมาก เพราะสามารถที่จะขับขี่ขึ้นเขาได้แบบสบายๆ ด้วยการใช้เพียงแค่เกียร์ 2-3 เท่านั้น แถมยังมีแรงบิดอยู่ในมือเพื่อใช้ในการเร่งเครื่องยนต์ในจังหวะแซงอีกด้วย นอกจากขุมพลังจากเครื่องยนต์ 115 ซีซี. แล้ว ช่วงล่างก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เราสามารถขับขี่ได้สนุกกับการเข้าโค้งเป็นอย่างมาก เพราะช่วงล่างของ “ยามาฮ่า ฟินน์” แน่นและหนึบเป็นอย่างยิ่งแม้ว่าในบางจังหวะเราจะเข้าโค้งด้วยความเร็วก็ตาม แต่ก็ยังสามารถที่จะควบคุมรถให้เชื่องมือได้ตลอดเวลา
เมื่อรับประทานอาหารกลางวันกันเรียบร้อย สมาชิกขบวนการฟินน์ก็พร้อมเดินย่อยอาหารกันต่อที่ “อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง” ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาพนมรุ้ง ซึ่งเป็นภูเขาไปที่ดับสนิทแล้ว เป็นโบราณสถานเนื่องในอิทธิพลอารยธรรมเขมรโบราณที่มีความงดงาม และมีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยกลุ่มอาคารบนยอดเขามีการก่อสร้างหลายยุคสมัยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 – 18 ซึ่งในช่วง วันที่ 2-4 เมษายน และ 8-10 กันยายน ของทุกปี ดวงอาทิตย์ขึ้น ส่องแสงลอดช่องประตูทั้ง 15 บาน ชาวบ้านจะเดินเท้าขึ้นมาเพื่อชมความอลังการที่ผสานระหว่างธรรมชาติและสิ่งก่อสร้างของบรรพชน นอกจากนี้ในวันที่ 5-7 มีนาคม และ 5-7 ตุลาคม ของทุกปี ดวงอาทิตย์ก็ตกส่องแสงลอดช่องประตูทั้ง 15 บาน เช่นกัน...
หลังจากสมาชิกเดินชมความอลังการของปราสาทพนมรุ้งกันอยู่เกือบ 2 ชม. ก็ออกเดินทางต่อ โดยจุดหมายต่อไปอยู่ที่ “สวนคุณปู่” ร้านกาแฟสด สไตล์ท้องทุ่งและล้อมรอบด้วยชุมชน ร้านกาแฟสไตล์ธรรมชาติที่ตั้งอยู่บนพื้นที่หลายไร่ มีทั้งทุ่งนา สะพานไม้ทางเดิน สระน้ำ ร้านกาแฟเย็นๆ วิวสวยๆ บรรยากาศดี๊ดี ให้พวกเราได้ฟินน์กันอย่างเต็มที่ ซึ่งการเดินทางในช่วงนี้มีระยะทางประมาณ 61 กม. ทำให้ “ยามาฮ่า ฟินน์” ต้องรับบทหนักอีกครั้ง เพราะขบวนการฟินน์ยังคงใช้ความเร็วเหมือนช่วงขามา เพิ่มเติมก็คือ อากาศในช่วงบ่ายที่ร้อนระอุมากยิ่งขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักมากขึ้น แต่ “ยามาฮ่า ฟินน์” ก็ยังคงตอบสนองต่อการขับขี่ได้อย่างสบาย รอบเครื่องไม่มีสะดุด รอบไม่มีตก เครื่องยนต์ยังคงทำงานได้อย่างสมบูรณ์เช่นเดิม ในบางช่วงเรายังเพิ่มความเร็วขึ้นไปถึง 90 กม./ชม. เพื่อทดสอบดูว่าเครื่องยนต์ยังมีกำลังเหลืออยู่หรือไม่ ซึ่งผลที่ได้ก็ทำให้เราประทับใจกับรถครอบครัวรุ่นนี้มากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากเครื่องยนต์จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การทรงตัวในช่วงความเร็วสูงและขับขี่ผ่านทางโล่งๆ ที่มีกระแสลมพัดปะทะอยู่ตลอดเวลายังคงมีความเสถียร นิ่ง รถไม่มีอาการส่าย ทำให้เราขับขี่ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อนั่งฟินน์ๆ กับบรรยากาศกลางท้องถิ่นและเครื่องดื่มที่เย็นชื่นใจกันจนเต็มอิ่มแล้ว ก็มาถึงการเดินทางในช่วงสุดท้ายของขบวนการฟินน์ “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” ในครั้งนี้ โดยยังมีระยะทางอีกเกือบ 20 กม. ก่อนจุดหมายปลายทางของเรา โรงแรม สกายวิว รีสอร์ท บุรีรัมย์ ที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าสนามฟุตบอล ช้าง อารีน่า เพื่อร่วมกิจกรรมประกาศรางวัลแชมป์ประจำการแข่งขัน Yamaha Moto Challenge 2018 ซึ่งสมาชิกขบวนการฟินน์ต่างก็กดคันเร่งกันอย่างเต็มที่ เพราะยังเห็นว่าเกจ์น้ำมันยังคงเหลืออยู่อีกมากพอสมควร ทำให้การขับขี่ในช่วงสุดท้ายนี้สนุกไปกับความเร็วที่ “ยามาฮ่า ฟินน์” สามารถตอบสนองได้เร้าใจไม่แพ้รถสปอร์ตรุ่นใหญ่เช่นกัน...
สำหรับบทสรุปของทริป “ฟินน์...ย้อนรอย อารยธรรมขอม ถิ่นภูเขาไฟ เมืองแปะ” กับกิจกรรม “ยามาฮ่าฟินน์ทั่วไทย ใช้น้ำมันถังเดียว” ครั้งนี้ มีระยะทางรวมตลอดการเดินทางอยู่ที่ 195.9 กม. ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไปเพียงแค่ 2.96 ลิตร พร้อมการจ่ายค่าน้ำมันในการท่องเที่ยวแบบฟินน์ๆ นี้ไปเพียงแค่ 83 บาท เท่านั้น...